โปรแกรมรักษาฝ้าชนิดหนา

สารบัญ

ฝ้าคืออะไร ?

ฝ้า (Melasma) คือ เป็นภาวะเซลล์ที่สร้างเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ ที่มีลักษณะเป็นปื้นสีเข้มกว่าผิวบนในหน้าตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำคล้ำ ฝ้ามักขึ้นในบริเวณที่ผิวหน้าได้สัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เช่น โหนกแก้ม จมูก หน้าผาก รอบๆริมฝีปาก และคาง ส่วนมากฝ้าพบได้ในวัย 30 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิงที่มีกิจวัตรใช้ชีวิตที่เจอแสงแดด ยูวี อยู่เป็นประจำ

ลักษณะของฝ้ามีกี่ชนิด อะไรบ้าง?

ฝ้านั้นจะเป็นรอยปื้นมีสีคล้ำและหลายขนาดตั้งแต่จุดเล็กๆ จนถึงใหญ่ ดังนั้นเราจึงจะอธิบายลักษณะฝ้าทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ 4 ชนิด  โดยแยกประเภทดังนี้ 

  • ฝ้าแดด  คือฝ้าที่เกิดจากการโดนแสงแดด รังสียูวีเอ รังสียูวีบี โดยตรงหรือเป็นเวลานานๆ หรือแสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอคอมฯ หรือหน้าจอมือถือ และหลอดไฟ เพราะแสงเหล่านี้เป็นอันตรายต่อผิวบนใบหน้าจึงเป็นสาเหตุนึงที่ก่อให้เกิดฝ้าได้ง่าย 
  • ฝ้าตื้น  มีลักษณะสีเข้มขอบชัด เป็นฝ้าตื้นๆ สีน้ำตาล เกิดบนชั้นผิวหนังกำพร้า(ผิวหนังชั้นนอก) ฝ้านี้รักษาหายได้ง่ายกว่าฝ้าชนิดอื่นๆ
  • ฝ้าลึก มีลักษณะสีน้ำตาลอ่อนปนสีฟ้า ขอบไม่ชัด ซึ่งฝ้าชนิดนี้เกิดลึกลงไปกว่าชั้นผิวหนังกำพร้า เนื่องด้วยความลึกที่ไม่สามารถระบุได้ ฝ้าประเภทนี้จึงรักษาได้ยาก
  • ฝ้าผสม เป็นทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก สามารถพบได้มากที่สุดในคนไข้ที่เป็นฝ้า และฝ้าชนิดนี้ต้องใช้วิธีรักษารวมกัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ

อย่างที่เราทราบกันดีว่าฝ้าเกิดจากการถูกกระตุ้นทำให้ที่เม็ดสีเมลานินผลิตมากเกินความจำเป็น ซึ่งมีหลายปัจจับเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งสภาพแวดล้อมภายในและสภาพแวดล้อมภายนอก ในหัวข้อนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุของการเกิดฝ้า ว่ามีอะไรบ้าง 

  • เกิดจากแสงแดด เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้าง่ายที่สุด ด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งในประเทศไทยมีอากาศที่ร้อนแดดแรง การปล่อยให้ผิวหน้าเราโดนแสงแดดบ่อยๆนั้น ยิ่งไปกระตุ้นเซลล์เม็ดสีก่อให้เกิดการทำงานของเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นจึงเกิดรอยดำบนใบหน้า
  • เกิดจากพันธุกรรม ฝ้านั้นสามารถส่งต่อจากพันธุกรรมได้ ซึ่งในปัจจุบันยังสามารถหาวิธีระงับฝ้าจากการส่งผ่านยีนส์ได้
  • เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น ฝ้ามักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในช่วงวัย 30 – 40 ปี และพบในผู้หญิงตั้งครรภ์

ปัจจัยใดบ้างที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำชัดขึ้น

เมื่อเราได้เข้ารับการรักษาแล้ว ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในระดับหนึ่ง แล้วพบว่าเมื่อระยะเวลาผ่านไป ฝ้า กระที่เคยจางลงนั้นกลับมาเป็นอีก หลายคนจึงอาจเกิดคำถามว่าเพราะอะไร ที่ทำให้กระตุ้นให้ฝ้ากลับมาได้ เกิดจากปัจจัยใด ในหัวข้อนี้มีตำคอบ

  • ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ การเข้าสู่วัยทองและวัยหมดประจำเดือน เป็นปัจจัยที่ผู้หญิงหลายคนไม่ทราบ เพราะแค่การตั้งครรภ์ก็ทำให้เกิดฝ้าได้ 
  • ความเครียดสะสม เป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน เพราะเมื่อเราเกิดความเครียดร่ายกายจะหลั่งสารอนุมูลอิสระ ส่งผลต่อการทำงานของเม็ดสีเมลานินสะสมจนเกิดกลายเป็นฝ้า 
  • ขาดสารอาหาร/ขาดวิตามิน การทานอาหารไม่ครบหมู่ ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิดที่ เช่น วิตามินบี 12 วิตามินซี วิตามินอี รวมถึงโอเมก้า 3 ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผิวบอบบาง มีฝ้า กระ จุดด่างดำ ด้วย
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ ข้อเสียของการพักผ่อนน้อยนอกจากจะทำให้สุขภาพไม่ดีแล้ว ยังทำให้เกิดฝ้าได้อีกด้วย เพราะหากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้การสร้างสารอนุมูลอิสระทำงานหนักมากขึ้น และยิ่งไปกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินผลิตมากขึ้นตามจึงก่อให้เกิดความหมองคล้ำและจุดด่างดำบนใบหน้านั่นเอง
  • เครื่องสำอาง ผลข้างเคียงจาการเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของเสตียรอยด์ ทำให้ผิวบอบบางหรือแพ้ ก่อให้เกิดเลือดรวมตัวเป็นก้อนกระจุกในชั้นใต้ผิวหนังชั้นลึก จึงทำให้เกิดเป็นฝ้าแดงได้ และถือว่าจัดฝ้าที่รักษายาก
  • ผลข้างเคียงจากการทานยา การทานยาบางชนิดก็ส่งผลต่อการเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้นเช่น  ยาปฏิชีวนะบางประเภท, ยาที่เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท้อต่างๆ, ยาแก้อักเสบที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์, เรตินอยด์, ยาลดน้ำตาลในเลือด, ยากันชัก เป็นต้น
  • เชื้อชาติ เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าชาวเอเชียส่วนใหญ่มีโอกาสเป็นฝ้าได้มากกว่ากลุ่มเชื้อชาติอื่นๆ จากสภาพอากาศ

เลเซอร์รักษาฝ้า คืออะไร

การเลเซอร์ฝ้า กระ จุดด่างดำ คือ การใช้พลังงานแสงจากเลเซอร์ยิงตรงเข้าไปยังบริเวณที่เป็นฝ้าโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการปรับสภาพผิวและกระตุ้นการผลัดเซลล์ สร้างเซลล์ผิวใหม่ จึงช่วยลดเม็ดสีเมลานินให้จางลง ผิวขาวกระจ่างใส ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลงอย่างเห็นได้ชัด

โปรแกรมเลเซอร์ที่ Luxury Clinic เลือกใช้คือโปรแกรมเลเซอร์ Q-Switch เป็นนวัตกรรมการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีโดยการปล่อยคลื่นแสงที่มีความเข้มและหนาแน่น เป็นเลเซอร์ที่มีคลื่นความยาวแคบ ๆ ที่ส่งความร้อนลงไปสู่ชั้นใต้ผิวเพื่อทำลายเม็ดสีให้แตกตัวโดยไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง หลักการทำงานของ เลเซอร์ Q-Switch จะปล่อยลำแสงคลื่นในระดับนาโนเมตร สามารถช่วยรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ และลดเลือนริ้วรอยได้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ รวมถึงช่วยเรื่องการกระชับรูขุมขน ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส เป็นต้น 

Q-Switch Laser ยังเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและผ่านรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป เกาหลีและประเทศไทยอีกด้วยซึ่ง Q-switch แบ่งชนิดคลื่นความยาวของ Q-Switch Laser ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

  • Q-switch ชนิดความยาวคลื่น 532  จะเหมาะกับการรักษาปัญหาผิวชนิดตื้นๆ เช่น ฝ้า กระแดด เป็นต้น  ยังแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน กระจ่างใส ไม่ทำให้ผิวได้รับความเสียหาย
  • Q-switch ชนิดความยาวคลื่น 1064  เหมาะกับการรักษาคนไข้ที่มีฝ้าลึก ฝ้าหนา กระ จุดด่างดำ รอยแผลเป็นต่างๆ ในชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพสูงในการแก้ปัญหาเม็ดสีเมลานินได้อย่างตรงจุด

 จึงมั่นใจได้ว่า Q-Switch Laser เป็นเลเซอร์รักษาฝ้า กระที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง หลังทำการรักษา ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ไม่มีมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

เลเซอร์ฝ้าคืออะไร

โปรแกรมเลเซอร์รักษาฝ้า เหมาะกับใครบ้าง ?

  • ผู้ที่มีฝ้าตื้น มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลและขอบชัด
  • ผู้ที่มีฝ้าลึก มีลักษณะสีน้ำตาลอมฟ้าหรือสีน้ำตาลอมม่วง เป็นฝ้าที่รักษาหายยาก
  • ผู้ที่มีฝ้าผสม เป็นทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก สามารถพบได้มากที่สุดในผู้ที่ปัญหาเรื่องฝ้า
  • ผู้ที่มีกระ มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล มักเป็นบริเวณใบหน้าหรือส่วนที่โดนแสงแดดบ่อยๆ
  • ผู้ที่มีรอยสิว รอยแดง สาเหตุจากสิวที่เกิดการช้ำจนกลายเป็นสีเข้มขึ้น เห็นเป็นสีน้ำตาลจนถึงเกือบดำ โดยมักจะพบในผู้ที่มีผิวคล้ำง่าย
  • ผู้ที่มีจุดดด่างดำ ผิวหนังที่มีการอักเสบจะเกิดรอยดำหลังการอักเสบขึ้นได้
  • ผู้ที่มีผิวหน้าหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ  สาเหตุจากแดดที่ทำให้ใบหน้าและผิวพรรณดูโทรม ไม่สดใส เนื่องจากผิวผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากขึ้น 
  • ผู้ที่ผิวแห้ง รูขุมขนกว้าง  สาเหตุจากภาวะขาดน้ำยังทำให้ปัญหาริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยตามมา

เลเซอร์ Q-switch  ไม่เหมาะกับใครบ้าง ?

  • ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
  • ไม่เหมาะกับผู้มีประวัติเป็นโรคลมชัก
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยใช้สารลอกผิว
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือผู้มีประวัติแพ้ยา 
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีสิวอักเสบ ควรรักสิวให้หายดีก่อนรับการรักษา เพราะอาจทำให้สิวอักเสบมากกว่าเดิม

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการเลเซอร์รักษาฝ้า 

สิ่งที่ควรปฏิบัติก่อนทำเลเซอร์ฝ้า คนไข้ต้องเข้าใจว่าการทำเลเซอร์ฝ้านั้นไม่ใช่แค่การทำหน้าทั่วไปเพราะการเลเซอร์นั้นคนไข้ต้องดูแลผิวเป็นพิเศษด้วย ดังนั้นจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับบริการ

  • ควรเลือกคลินิกที่มีหัตถการเลเซอร์ฝ้าใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำก่อนทำ
  • ในระหว่างปรึกษาแพทย์ ควรถามรายละเอียดขั้นตอนการทำ รวมถึงการใช้ยาต่างๆ ในกรณีหากคนไข้นั้นแพ้ยาชา อาการผลข้างเคียง การดูแลหลังทำ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
  • หาข้อมูลผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการทำเลเซอร์
  • คนไข้ต้องเตรียมตัวเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน หากเป็นคนนอนดึก ทำงานกลางแจ้ง สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ต้องงดกิจวัตรนั้นๆ เพื่อให้ผลลัพธ์หลังทำได้ผลดีขึ้น
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ 
  • สำหรับคนไข้ที่มีผิวบาง เป็นแผลเป็นง่าย ต้องดูแลผิวอย่างเป็นพิเศษ
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดก่อนการทำเลเซอร์
  • ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF สูง ก่อนการทำเลเซอร์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือแสบผิว
  • ควรเตรียมครีมมอยเจอร์ไรเซอร์ หรือครีมที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับใบหน้า เนื่องจากหลังทำเลเซอร์ไปแล้ว อาจเกิดผิวแห้งกร้าน และช่วยบรรเทาอาการแสบผิวได้
  • ควรงดทาครีมที่มีส่วนผสมของ เรตินอยด์ ,  AHA , BHA เนื่องจากส่วนผสมเหล่านี้ทำให้ผิวหน้าไวต่อแสงง่ายขึ้น
  • สามารถดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีสารช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้เซลล์ที่ถูกทำลายไปแล้วกลับมาดียิ่งขึ้นได้

ขั้นตอนการเลเซอร์รักษาฝ้า

การทำโปรแกรมเลเซอร์รักษาฝ้าของทาง Luxury Clinic นั้นใช้เวลาในการรักษาประมาณ 45 นาที ในแต่ละขั้นตอนมีอะไรบ้าง

ขั้นตอนการรักษาฝ้า มีอะไรบ้าง?

  1. ก่อนเข้าห้องรับการรักษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะจะทำการประเมินสภาพปัญหาผิวหน้าของคนไข้
  2. หลังจากนั้นปรึกษาแพทย์แล้ว พนักงงานจะเช็ดเครื่องสำอางค์และล้างทำความสะอาดใบหน้าเพื่อล้างคราบสิ่งสกปรกก่อน
  3. หลังจากพนักงงานจะให้คนไข้สวมที่ครอบตา เพื่อป้องกันดวงตาจากแสงเลเซอร์
  4. เริ่มขั้นตอนการรักษา แพทย์จะทดสอบการยิงเลเซอร์ลงบนผิวหน้า บริเวณแก้มเช็คดูการตอบสนองผิวของคนไข้ว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร และคำนวณการรักษาให้เหมาะกับคนไข้นั้นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าตลอดการรักษาจะได้ผลลัพธ์ออกมาดีและมีผลค้างเขียงต่อคนไข้น้อยที่สุด
  5. เริ่มใช้เลเซอร์รักษายิงทั่วบริเวณที่เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซึ่งในขั้นตอนคนไข้บางท่าน อาจเกิดอาการแสบหรือเจ็บบนผิวหน้าได้หากผิวบริเวณนั้นๆมีฝ้าหนา หรือจุดดด่างดำเยอะ เพราะผิวบริเวณนั้นเป็นส่วนที่บอบบางง่ายที่สุด  ซึ่งในระหว่างทำแพทย์และผู้ช่วยจะคอยซักถามอาการคนไข้ว่าสามารถทนความเจ็บได้หรือไม่ โดยส่วนนี้ทางคลินิกจะใช้เจลเย็นและลมเย็นคอยประคบเพื่อบรรเทาอาการ แต่หากคนไข้ไม่สามารถทนได้ แพทย์จะหยุดการรักษาทันที และประเมิณสภาพผิวของคนไข้อีกครั้ง
  6. หลังจากเลเซอร์ไปแล้ว จะทำทรีทเมนต์บำรุงผิว เพื่อลดการบวมแดงและความระคายเคือง อีกทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
  7. ปิดท้ายด้วยการมาส์กบำรุงผิวอย่างล้ำลึก ลดการแสบร้อน ลดเลือนจุดด่างดำ ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวและเสริมความชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง 
จัดการฝ้า แก้หน้าฝ้า

 การดูแลตัวเองหลังเลเซอร์ฝ้า 

เพื่อให้ผลลัพธ์หลังทำเลเซอร์ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด คนไข้จึงจำเป็นต้องดูแลผิวหลังทำอย่างเป็นพิเศษ โดยข้อควรปฏิบัติมีดังนี้

  • หลังจากทำเสร็จแล้ว คนไข้ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง เป็นเวลา 1 -2 อาทิตย์ เพราะหลังจากเลเซอร์ไปแล้วผิวหน้านั้นจะบอบบางกว่าปกติ (เกิดการแพ้ง่าย)  เนื่องจากผิวบริเวณที่รักษายังแดงอยู่ หากโดนแสงแดดไปทำให้เม็ดสีเมลานินเข้มขึ้น อาจทำให้ที่รักษาไปนั้นไม่เกิดผลและฝ้าอาจกลับมาเป็นอีกได้
  • หลังทำเสร็จทันที สามารถทาครีมกันแดดได้เลย
  • ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 
  • งดล้างหน้าใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทำ เพื่อป้องกันการระคายเคืองบริเวณที่ทำเลเซอร์ 
  • งดการสัมผัสหน้าแรงๆ เช่น การนวด ถู ลูบ เกา เป็นต้น อาจทำให้เกิดแผลได้ ในกรณีคนไข้ที่รักษาแล้วมีการสะเก็ดบนหน้า
  • งกการสครับผิวหน้า เพราะการสครับผิวหลังเลเซอร์จะเป็นการทำลายผิวมากกว่าเดิม ส่งผลให้สภาพผิวแย่กว่าเดิม
  • ในกรณีหากคนไข้รู้สึกแสบร้อนใบหน้า สามารถประคบเย็นได้เพื่อลดอาการแสบร้อน
  • งดการอาบน้ำด้วยน้ำอุ่น เพื่อป้องกันการระคายเคือง เพราะความร้อนจากน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่าย ขาดความชุ่มชื้น
  • หมั่นทาครีมที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ไม่ปล่อยให้ผิวหน้าแห้งหร้าน เพื่อให้ผิวสามารถฟื้นฟูสภาพได้เร็วยิ่งขึ้น 
  • คนไข้สามารถมาส์กผิวหน้าได้บ่อยๆ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และเสริมสร้างเกาะป้องกันผิวอีกด้วย
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวเพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือเกิดการแพ้บนผิวหน้าได้
  • หมั่นทาครีมกันแดด ที่มี SPF สูงๆ เป็นประจำ เพื่อป้องกันแสงแดดที่ก่อให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่น้อยกว่า 7 – 8 ชั่วโมง
  • ควรดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อย 2 ลิตร เพราะการดื่มน้ำในปริมาณมากๆ ช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นได้ ผิวไม่ขาดน้ำ
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการอยู่หน้าจอคอม หรือ เล่นโทรศัพท์ เป็นเวลานาน เพราะแสงสีฟ้าจากหน้าจอก็เป็นสาเหตุการทำลายผิวหน้าได้
  • หลีกเลี่ยงการเจอความร้อนจัด เช่น อบซาวน่า การอยู่หน้าเตาปิ้งย่าง อย่างน้อย 72 ชั่วโมง
  • สำหรับคนไข้ที่ผิวหน้าเกิดสะเก็ดหลังจากการทำเลเซอร์ ให้งดแต่งหน้าเป็นเวลา 2 – 3 วัน แต่สำหรับคนไข้ที่ไม่ได้เกิดสะเก็ดก็สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ

การปฏิบัติตามข้างต้นเป็นการดูแลตัวเองเพื่อช่วยเสริมให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดตามความต้องการของคนไข้ ซึ่งจะส่งผลให้สภาพผิวดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากทำไปแล้วประมาณ 3 อาทิตย์ ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ 

ผลค้างเขียงหลังทำ

หลังทำการรักษาไปแล้วนั้นในคนไข้บางรายอาจมีผลข้างเคียงหลังทำซึ่งมักเกิดขึ้นได้น้อย ผลข้างเคียงต่างๆ มีดังนี้ 

  • ผิวหน้าเกิดอาการบวมแดงหรือแสบร้อน คนไข้สามารถบรรเทาอาการได้โดยใช้เจลเย็นประคบ ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองใน 1 – 2 วัน 
  • มีอาการคันบริเวณที่ทำ 
  • มีสะเก็ดแผลบนใบหน้า มักจะเกิดกับคนไข้ที่มีฝ้า กระ ตื้นๆ
  • เป็นจุดด่างขาวบนใบหน้า เนื่องจากการทำเลเซอร์ส่งผลให้เม็ดสีเมลานนินเข้มขึ้นหรือจางลงกว่าปกติได้
  • สีผิวเข้มขึ้น อาจเกิดขึ้นในบริเวณที่ทำหัตถการและหากถูกแสงแดดจัดก็จะเป็นมากขึ้น ซึ่งจะจางลงภายในระยะเวลา 2-6 เดือน มักเกิดกับผู้ที่มีผิวสีเข้ม
  • แผลตกสะเก็ดเกิดการติดเชื้อ เนื่องจากคนไข้ดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ
  • หากเกิดอาการผิวอักเสบ ควรรีบพบแพทย์ทันที

วิธีเลือกคลินิกรักษาฝ้า ควรเลือกอย่างไร?

 นอกจากการศึกษาข้อมูลแล้วว่าสภาพผิวของเราเหมาะกับกับรักษาด้วยวิธีไหนแล้ว เราต้องคำนึงถึงการเลือกคลินิกที่จะรักษาด้วยว่าควรเลือกอย่างไร ถึงจะเหมาะกับเราและเห็นผลตามที่เราต้องการ

  1. เลือกเครื่องมือเลเซอร์รักษาฝ้า เลเซอร์ Q-Switched  เป็นเลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีโดยการปล่อยคลื่นแสงที่มีความเข้มและหนาแน่น มีความสามารถในการจับสีเมลานินได้ดี พร้อมปล่อยคลื่นพลังงานด้วยความเร็วนาโนวินาที จึงเกิดการดูดซับเม็ดสีผิวที่มีความเข้มในผิวชั้นตื้นให้แตกตัวออก ส่งผลให้เม็ดสีที่เข้มจางลง จึงทำให้ผิวบริเวณนั้นสว่างขึ้น เลเซอร์ Q-Switched  จึงเป็นเลเซอร์ที่ช่วยแก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำได้ดี
  2. พิจารณาการเลือกคอร์สรักษาฝ้า การตัดสินใจซื้อคอร์สนั้นเราต้องคำนึงถึงผลลัพธ์มากที่สุดอยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันต้องดูว่าคอร์สที่เราเลือกรักษาคุ้มค่าหรือไม่ เพราะสำหรับผู้ที่มีฝ้านั้นการทำเลเซอร์อาจไม่เห็นผลในครั้งแรกในกรณีผู้ที่เป็นฝ้าเยอะ ฝ้าหนา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการรักษาจะเห็นผลชัดเจนจริงๆ คือเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ 3 – 5 ครั้ง ดังนั้นจึงแนะนำเลือกซื้อเป็นคอร์ส  เพราะคลินิกที่มีรักษาเลเซอร์ฝ้า มักจะมีโปรโมชั่นส่วนลดในราคาซื้อเป็นคอร์สจึงคุ้มค่ากว่าการซื้อเป็นครั้งๆ
  3. ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เพราะการทำเลเซอร์ฝ้านั้นนอกจากจะต้องเลือกใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพแล้ว ต้องเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวหนังโดยเฉพาะทำการรักษาให้คนไข้โดยตรงด้วย เนื่องจากการทำเลเซอร์ในแต่ละครั้ง ควรผ่านการปรึกษาแพทย์และประเมินสภาพผิวก่อนได้รับการรักษา เพื่อให้คนไข้ได้รับการรักษาอย่างตรงจุดและได้รับความปลอดภัยในการใช้บริการ 

สรุป  การเลือกคลินิกเพื่อรักษาฝ้าต้องพิจารณาจากข้อแนะนำดังกล่าวข้างต้น การเลือกคลินิกที่มีเครื่องเลเซอร์ที่ได้มาตรฐานแล้ว ต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการรักษาเลเซอร์ฝ้าด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์ของคนไข้เป็นไปตามที่ต้องการ

ทำไมต้องทำ โปรแกรมเลเซอร์รักษาฝ้า ที่ Luxury Clinic 

การเลือกทำโปรแกรมรักษาฝ้าชนิดหนา ที่ Luxury clinic แตกต่างจากที่อื่นอย่างไร Luxury Clinic การันตีด้วยรางวัลต่างๆ และรีวิวจากคนไข้จริงมากกว่า 5,000 เคส เป็นคลินิกที่มีเครื่องมือเทคโนโลยีทันสมัยทั้ง Q-Switch  Laser และ Pico Laser เพื่อใช้ในการรักษาปัญหาผิวโดยเฉพาะ ฝ้า กระ จุดด่างดำ เป็นเครื่องมือที่ได้รับมาตรฐาน US-FDA   เพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุดและคำนึงถึงความต้องการของคนไข้ วิเคราะห์ปัญหาผิวของคนไข้แต่ละคนให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามแบบเฉพาะบุคคล พร้อมทั้งดูแลคนไข้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์และเทคนิคการยิงเลเซอร์เฉพาะตัว ทำให้ Luxury Clinic เป็นตัวจริงเรื่อง “รักษาฝ้า” เลเซอร์ที่รักษาปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ ได้ดีที่สุด ใส่ใจทุกเคส แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด “

และที่สำคัญคือ ลักชูรี่คลินิกมีให้บริการทั้งหมด  7 สาขา ได้แก่ สาขาเซ็นทรัลบางนา สาขาซีคอน ศรีนครินทร์  สาขาลาดพร้าว สาขารังสิต สาขาปิ่นเกล้า สาขาแฟชั่นไอซ์แลนด์ และสาขาพระราม2 พร้อมมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอีกด้วย

เลเซอร์ฝ้าที่ไหนดี ?เลเซอร์รักษาฝ้า

  • เลือกใช้เครื่องเลเซอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารเเละยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้นำด้านเครื่องมือแพทย์ระดับโลก ซึ่งเครื่องเลเซอร์ได้ผ่านการวิจัยมาแล้วว่ารักษาได้ดี และเหมาะกับทุกสภาพสีผิว
  • การยิงเลเซอร์แต่ละครั้งดูแลโดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญตลอดการรักษา
  • ยิงไม่จำกัดพลังงาน โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินตามความเหมาะสมของปัญหาในเเต่ละคน
  • เห็นผลการเปลี่ยนแปลงตั้งเเต่ครั้งเเรกที่ทำ
  • ใส่ใจทุกเคส แก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด
  • มีรีวิวจริงจากผู้เข้าใช้บริการ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาฝ้า (Q&A)

  • Q: เห็นผลหลังทำทันทีหรือไม่ ?
  • A: ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ในบางท่านอาจเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก เนื่องจากมีปัญหาฝ้าเพียงเล็กน้อย จึงเห็นผลไว ดังนั้นผลลัพธ์ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของคนไข้ 
  • Q: ยิงเลเซอร์จะเจ็บไหม จะแสบหน้าไหม ?
  • A: ในระหว่างทำคนไข้อาจรู้สึกแสบร้อน และเจ็บจื๊ดบนผิวเท่านั้น ซึ่งเป็นความเจ็บที่สามารถทนได้ จะเป็นการเจ็บแค่ระยะสั้นๆ
  • Q: การยิงเลเซอร์ทำให้หน้าบางกว่าเดิมจริงมั้ย ?
  • A: ยืนยันได้เลยว่าการเลเซอร์ฝ้านั้น ไม่ได้ทำให้หน้าบางกว่าเดิม ส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดเพราะคิดว่าการเลเซอร์บ่อยๆนั้น ยิ่งทำให้ผิวหน้ายิ่งบอบบางลง ซึ่งการเลเซอร์นั้นเป็นเพียงการปรับสภาพฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ โดยการสร้างผิวใหม่นั้นจะทำงานในรูปแบบผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ผิวใหม่ที่เกิดขึ้นจะเรียบเนียนกว่าเดิมและผิวแข็งแรงขึ้นด้วย คนไข้จึงเข้าใจว่าการที่ผิวหน้าเราลอกหรือถลอกนั้นทำให้ผิวหน้าบางนั่นเอง 
  • Q: 1 เดือนทำได้กี่ครั้ง ต้องทิ้งระยะห่างนานไหม?
  • A: ใน 1 เดือน คนไข้ควรเว้นระยะในการทำประมาณ 3 – 4 อาทิตย์ /ครั้ง เนื่องจากผิวบริเวณที่ทำนั้นต้องให้เวลาสภาพผิวได้ฟื้นฟูและให้ผิวได้เกิดการผลัดเซลล์  จึงคสรเว้นระยะห่างในการทำ
  • Q: คอร์สราคาเท่าไหร่ ทำได้กี่ครั้ง?
  • A: โปรแกรมเลเซอร์รักษาฝ้าชนิดหนาของทางลักชูรี่คลินิกนั้น มีราคาเริ่มต้นที่ครั้งละ 3,500.-  ( โดยโปรโมชั่นของทางคลินิก 1 คอร์ส ทำได้ถึง 7 ครั้ง ราคาเพียง 3,990.- )